International Literacy Prizes 2013

Awarding of International Literacy Prizes Winners of 2013 UNESCO

King Sejong Literacy Prize
• Mr.Michel Karim, Director,Federation des Associations de Promotiondes
Langues du Guera,Chad
• Mr.Jagmohan Singh Raju, Director General,National Literacy Mission Authority,
Ministry of Human Resource Development,Republic of India

Winners of 2013 UNESCO Confucius Prize for Literacy

•Dr.Kazi Rafiqul Alam,Director,Dhaka Ahsania Mission,People’s Republic of
Bangladesh
•Mme Mical Drehi Lorougnon,President,ONG Savoir Pour Mieux Vivre (SAPOMIVIE),
Côte d’Ivoire
•Mr Beans U.Ngatjizeko,Director, Directorate of AdultEducation, Ministry
of Education, Republic of Namibia

Click to access ILD2013-agenda7septembe-final.pdf

แนวคิด: การวัดผลและประเมินผลการจัดการศึกษาอาชีพ

 อัญชลี ธรรมะวิธีกุล

image

การจัดการศึกษาอาชีพ

การจัดการศึกษาอาชีพ  คือกระบวนการในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะด้านอาชีพ เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ มีรายได้ โดยการจัดการเรียนรู้ ที่จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด และความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคล การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจากสถานการณ์จริง สามารถนำความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้

ดังนั้นการวัดผลประเมินผลจึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญ ที่จะบอกให้รู้ว่า  เมื่อจัดการเรียนรู้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและมีคุณลักษณะตามจุดมุ่งหมายที่หลักสูตรกำหนดหรือไม่เพียงใด ซึ่งความเป็นจริงแล้วการวัดผลและประเมินผลมิได้ทำเฉพาะเมื่อกระบวนการเรียนรู้จบลงแล้วเท่านั้น แต่เกิดขึ้นตลอดเวลาของการดำเนินจัดการเรียนรู้ เนื่องจากการวัดผลและประเมินผลเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยู่ทุกขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ ดังนั้นการประเมินจึงเริ่มตั้งแต่ประเมินก่อนเรียน ประเมินขณะเรียน และประเมินหลังเรียน

การวัดและประเมินผล

  1. การวัดผล เป็นการสอบวัดว่าเมื่อกระบวนการเรียนการรู้ดำเนินไป ผู้เรียนมีพฤติกรรมด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ เปลี่ยนไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ โดยใช้เครื่องมือวัดผลต่าง ๆ เป็นเครื่องวัด การใช้เครื่องมือสอบวัดแต่ละชนิดจะต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนจัดการเรียนรู้ ผลจากการสอบวัดอาจจะเป็นเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ เช่นเป็นคะแนน เป็นค่าร้อยละ หรือระดับคุณภาพ ซึ่งยังไม่สามารถตัดสินได้ว่า ผู้เรียนมีคุณภาพเป็นอย่างไรจนกว่าจะมีการประเมินผล
  2. การประเมินผล เป็นกระบวนการที่จะตัดสินว่าผู้เรียนมีคุณภาพหรือไม่ มีในระดับใด โดยนำคะแนนที่ได้จากการสอบวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ประเภทการประเมิน 4 ประเภท

  1. การประเมินก่อนเรียน เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนรายบุคคลว่า ผู้เรียนมีพื้นความรู้ในเรื่องที่จะเรียนมากน้อย เพียงใด  เพื่อที่ครูจะได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
  2. การประเมินผลระหว่างเรียน  เป็นการประเมินระหว่างดำเนินการจัดการเรียนรู้ เพื่อดูความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มเรียน และ เพื่อนำผลที่ได้มาใช้ประโยชน์ในปรับปรุงการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การประเมินผู้เรียนเฉพาะราย เป็นการประเมินเพื่อหาข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะราย เพื่อครูจะได้หาแนวทางในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนได้ถูกต้อง
  4. การประเมินเมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ เป็นการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน ว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนหรือไม่ หรือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับใด

การกำหนดเครื่องมือวัดผลและประเมินผล

ในการวัดผลและประเมินผลครูจะต้องวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ดังนั้นก่อนสร้างเครื่องมือวัดครูจะต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ว่าเป็นจุดประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมในด้านใด ระดับใด แล้วจึงกำหนดเครื่องมือวัดผล

ตัวอย่าง    การวิเคราะห์เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลตามประเภทของจุดประสงค์การเรียนรู้

วิธีวัด/ประเภทของเครื่องมือวัด  ประเภทของจุดประสงค์การเรียนรู้

พุทธิพิสัย

ทักษะพิสัย จิตพิสัย
1.การสังเกต/แบบสังเกตพฤติกรรม

/

/

2.สอบถาม/ประเด็นคำถาม

/

/

3.สอบถาม/แบบสอบถาม

/

4.ตรวจผลงาน/แบบตรวจผลงาน

/

5.ตรวจแบบฝึกหัด/แบบฝึกหัด,ใบงาน  /  /
6.ทดสอบ/แบบทดสอบ

 /

 

ดังนั้นนั้นเมื่อมีการวิเคราะห์เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล ตามประเภทของจุดประสงค์การเรียนรู้ จะทำให้ครูสามารถใช้วิธีการวัดผลและเครื่องมือวัดผลได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และสามารถดำเนินการวัดและประเมินผลได้ตามเป้าหมาย และถือว่าเป็นการวัดที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้

ประโยชน์ของการวัดและประเมินผล

  1. ผู้เรียนสามารถรู้ผลการเรียนของตนเองว่าเป็นอย่างไร  เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเอง และเป็นแนวทางในการวางแผนศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้
  2. ครูผู้สอนได้ทราบว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีพัฒนาการในการเรียนรู้หรือไม่ มีในระดับใด เพื่อที่ครูจะได้ปรับปรุงการจัดกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้
  3. ผู้บริหารสถานศึกษาได้ทราบผลการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคลและโดยรวม เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการวางแผนการจัดการศึกษาอาชีพให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  4.  เป็นข้อมูลสำคัญต่อระบบประกันคุณภาพการศึกษา ทั้งประกันคุณภาพภายในและประกันคุณภาพภายนอก

 แนวคิดในการวัดผลและประเมินผลการจัดการศึกษาอาชีพ

สถานศึกษาควรจัดทำระเบียบการวัดผลประเมินผลหลักสูตรการศึกษาอาชีพ  โดยคณะกรรมการสถานศึกษาเห็นชอบ ซึ่งมีแนวทางดำเนินการดังนี้

1.หลักการในการวัดผลและประเมินผลการจัดการศึกษาอาชีพ

1.1  สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและประเมินผลการเรียนของผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม
1.2 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียน
1.3   การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องและครอบคลุมจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์  ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาอาชีพของสถานศึกษา และจัดให้มีการประเมินความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  การมีส่วนร่วม  คุณธรรมจริยธรรม ความรู้และทักษะ
1.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ต้องดำเนินการด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้านทั้งด้านพุทธิพิสัย  จิตพิสัย และทักษะพิสัย  เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด สอดคล้องกับวิชา และระดับของผู้เรียน โดยอยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงตรง ยุติธรรม และเชื่อถือได้
1.5  การประเมินผู้เรียน พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน จากพฤติกรรมการเรียนรู้ การปฏิบัติกิจกรรม ผลงานของผู้เรียน การทดสอบ  ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนรู้ ตามความเหมาะสมของแต่ละหลักสูตรวิชา และรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1.6  เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

2. การดำเนินการวัดและประเมินผลให้ครบองค์ประกอบทั้ง 5 ด้าน คือ  ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  การมีส่วนร่วม  คุณธรรมจริยธรรม ความรู้และทักษะ

2.1 ประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ ด้วยการสอบถาม ทดสอบ และปฏิบัติจริง
2.2  ประเมินด้านคุณธรรม ด้วยการสังเกต สอบถาม
2.3 ประเมินผลงานตามสภาพจริง
2.3  ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน ด้วยการสังเกต สอบถาม

3. การประเมินผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนในแต่ละหลักสูตรวิชา เป็นการประเมินความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  การมีส่วนร่วม  คุณธรรมจริยธรรม ความรู้และทักษะ

 ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนี้

3.1  ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้และ วิธีการประเมินผลการเรียน เกณฑ์การผ่าน ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนแต่ละหลักสูตรวิชา
3.2   จัดให้มีการประเมินผลก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐาน และความรอบรู้ในเรื่องที่จะเรียน ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
3.3   จัดให้มีการประเมินผลระหว่างเรียน  เพื่อศึกษาผลการเรียนและนำไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น
3.4  การตัดสินผลการเรียนให้นำผลการประเมินที่ประเมิน ระหว่างเรียนและหลังเรียน ไปรวมกัน ตามสัดส่วนที่สถานศึกษากำหนด แล้วให้ระดับผลการเรียน

4.เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

4.1  การตัดสินผลการเรียน
4.1.1  ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนตลอดหลักสูตรวิชา
4.1.2ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินระหว่างเรียนและหลังเรียนที่กำหนดไว้ในแต่ละหลักสูตรวิชา ในระดับดีขึ้นไป

4.2  การให้ระดับผลการเรียน

การตัดสินผลการเรียนแต่ละหลักสูตรวิชา  ให้ใช้ระบบตัวเลขแสดงระดับผลการเรียน เป็น 5 ระดับ ดังนี้

ระดับผลการเรียน

ความหมาย

ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ

5

ดีเยี่ยม

90-100

4

ดี

70-89

3

พอใช้

50-69

2

น้อย

30-49

1

น้อยที่สุด

10-29

4.3 เกณฑ์การจบหลักสูตรวิชา

4.3.1  ผู้เรียนเรียนตามโครงสร้างหลักสูตรวิชาและเวลาเรียนที่กำหนด
4.3.2  ผู้เรียนต้องมีผลการประเมิน วิชาที่เรียน ผ่านตั้งแต่ระดับ ๔ ขึ้นไป

5. เอกสารหลักฐานการศึกษา

การจัดหาและจัดทำเอกสารหลักฐานการศึกษา เอกสารหลักฐานการศึกษา ที่สถานศึกษากำหนด เพื่อบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผู้เรียน ดังนี้

5.1 แบบบันทึกผลการเรียนรู้ระหว่างเรียน
5.2 แบบประเมินและรายงานผลการจบหลักสูตรการศึกษาอาชีพ

ตัวอย่าง

1. ระเบียบการวัดและประเมินผลหลักสูตรการศึกษาอาชีพ
2. แบบประเมินทักษะ
3. แบบประเมินผลการศึกษาอาชีพ :ประเมินผู้เรียนเป็นรายบุคคล
4. แบบประเมินและรายงานผลการจบหลักสูตรการศึกษาอาชีพ

 

เอกสารอ้างอิง    

สำลี รักสุทธี และคณะม,มปป.วิธีการจัดการเรียนการสอน การเขียนแผนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์พัฒนาศึกษา

 

***************************

การสร้างและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

                                                                                                     อัญชลี ธรรมะวิธีกุล

IMG_04171

 1. การจัดการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดไว้ในมาตรา 49 ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ดังนั้น สำนักงาน กศน.จึงได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้ในการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียน เช่นกลุ่มประชากรวัยแรงงาน ทหารกองประจำการ อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำท้องถิ่น แรงงานไทย กลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มคนไทยในต่างประเทศและ ประชนทั่วไป เป็นต้น

หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลที่อยู่นอกระบบโรงเรียน ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์จากการดำรงชีวิต การประกอบชีพ โดยการกำหนดสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย ด้านจิตใจให้มีคุณธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาการเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน สามารถจัดการกับองค์ความรู้ ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สร้างภูมิคุ้มกันตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอพียง รวมทั้งคำนึงถึงธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อยู่นอกระบบ และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคม การเมือง การปกครอง ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการสื่อสาร

การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ตามปรัชญา “คิดเป็น” และยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ผู้เรียนแต่ละคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน ทั้งด้านวัย วุฒิภาวะ ความถนัด ความสนใจ วิธีการเรียนรู้ ตลอดจนมีการดำเนินชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นการจัดการเรียนรู้จึงต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเอง ตามธรรมชาติ เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ และเรียนรู้อย่างมีความสุข

โครงสร้างของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้

– ระดับการศึกษา  แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
– สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 สาระ คือ สาระทักษะการเรียนรู้  สาระความรู้พื้นฐาน
– สาระการประกอบอาชีพ สาระทักษะการดำเนินชีวิต และสาระการพัฒนาสังคม
– เวลาเรียน ในแต่ละระดับใช้เวลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเว้นกรณีที่มีการเทียบโอนผลการเรียน ทั้งนี้ผู้เรียนต้องลงทะเบียนในสถานศึกษาอย่างน้อย 1 ภาคเรียน
– หน่วยกิต ใช้เวลาเรียน 40 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต

จำนวนหน่วยกิตในแต่ละระดับ มีดังนี้
– ระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 36 หน่วยกิต และวิชาเลือก ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต
– ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 40 หน่วยกิต และวิชาเลือก ไม่น้อยกว่า 16 หน่วยกิต
– ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกว่า 76 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 44 หน่วยกิต และวิชาเลือก ไม่น้อยกว่า 32 หน่วยกิต
– การเรียนรู้จากการทำโครงงาน วิชาเลือกในแต่ละระดับ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการทำโครงงาน จำนวนอย่างน้อย 3 หน่วยกิต
– กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต กำหนดให้ผู้เรียนทุกระดับต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จำนวนไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง เป็นเงื่อนไขในการจบหลักสูตร

การเทียบโอนผลการเรียน  สถานศึกษาจะต้องจัดให้มีการเทียบโอนผลการเรียนหรือเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน ให้เป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยสถานศึกษาต้องจัดทำระเบียบหรือแนวปฏิบัติการเทียบโอนให้สอดคล้องกับแนวทางการเทียบโอนที่สำนักงาน กศน. กำหนด โดยกำหนดวิธีการเทียบโอน  ดังนี้

1.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักฐานการศึกษาที่จัดการศึกษาเป็นระดับประถมศึกษา  มัธยมศึกษาตอนต้น  และตอนปลายหรือเทียบเท่า
2.  การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษานอกระบบประเภทการศึกษาต่อเนื่อง
3.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศ
4.  การเทียบโอนผลการเรียนจากความรู้และประสบการณ์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
5.  การเทียบโอนผลการเรียนจากการประเมินความรู้และประสบการณ์

การจัดการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551  มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1  การแนะแนว

การแนะแนวเป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญ สถานศึกษาจะต้องจัดบริการแนะแนว เกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพราะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่กลุ่มเป้าหมายควรจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีเรียน กศน. ซึ่งมีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกเรียนได้ และจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจบหลักสูตรการศึกษา การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ การเทียบโอนผลการเรียน ที่ผู้เรียนสามารถนำผลการเรียน หรือนำประสบการณ์ มาขอเทียบโอนความรู้ตามหลักสูตรฯ และเรียนเพิ่มเติมบางสาระที่ไม่สามารถเทียบโอนได้ สถานศึกษาจะต้องจัดบริการแนะแนวให้กับกลุ่มเป้าหมายได้เข้าใจแต่เริ่มต้น เพื่อเขาจะได้ตัดสินใจเลือกเรียนได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของตนเอง

ขั้นตอนที่ 2  การรับสมัครผู้เรียน และการตรวจสอบหลักฐานการศึกษา

การรับสมัครผู้เรียน และการตรวจสอบหลักฐานการศึกษา สถานศึกษาจะต้องตรวจสอบหลักฐานการสมัครให้ถูกต้องครบถ้วน เช่น การกรอกใบสมัครเป็นนักศึกษา กศน. วุฒิการศึกษา สำเนาทะเบียนบ้านผู้สมัครที่มีชื่อบิดามารดา บัตรประจำตัวประชาชน ใบเปลี่ยนชื่อ – ชื่อสกุล หรือใบทะเบียนสมรส ใบหย่า รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมแว่นตาดำและไม่สวมหมวก เป็นต้น เมื่อตรวจสอบหลักฐานและใบสมัครเป็นนักศึกษา กศน. ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ให้กรอกใบลงทะเบียนเรียน การลงทะเบียนเรียนนั้น นักศึกษาต้องยื่นขอลงทะเบียนเรียนตามสาระรายวิชาที่สถานศึกษาเปิดสอนและตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดให้ลงทะเบียนได้ตามวันเวลาที่กำหนด ดังนี้(สำนักงาน กศน. , 2555 :  7)

ระดับประถมศึกษา ลงทะเบียนเรียนได้ภาคเรียนละไม่เกิน 14 หน่วยกิต
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ลงทะเบียนเรียนได้ภาคเรียนละไม่เกิน 17 หน่วยกิต
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ลงทะเบียนเรียนได้ภาคเรียนละไม่เกิน 23 หน่วยกิต

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษาที่เปิดให้ลงทะเบียน

ขั้นตอนที่ 3 การปฐมนิเทศ และการวางแผนการเรียน

การปฐมนิเทศและการวางแผนการเรียน เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมากสำหรับผู้เรียน สถานศึกษาจะต้องชี้แจงให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับวิธีเรียน กศน. การวัดผลและประเมินผล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนที่ลงทะเบียนเรียนได้เลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม ตามความต้องการ สอดคล้องกับวิถีชีวิต และการทำงานหรือ การประกอบอาชีพ ของผู้เรียน เช่น การเรียนแบบพบกลุ่ม การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การเรียนรู้แบบชั้นเรียน และการเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ ซึ่งการเรียนรู้ตามรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว ในแต่ละรายวิชาผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเลือกการเรียนหลาย ๆ รูปแบบ ได้ตามความต้องการและความเหมาะสมของผู้เรียน ที่ผู้เรียนคิดว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษา สถานศึกษาจะต้องชี้แจงให้ผู้เรียนเข้าใจถึงวิธีการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว

ขั้นตอนที่ 4 การวัดและประเมินผล

การวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรฯหรือนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน โดยตรง และนำไปปรับปรุงแก้ไขการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นรวมทั้งการนำไปใช้ในการพิจารณาตัดสินความสำเร็จทางการศึกษาของผู้เรียน การวัดผลและประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มี 2 ระดับ ดังนี้ (สำนักงาน กศน.,2555 : 9)

  1. การประเมินผลในระดับสถานศึกษา เป็นการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนเป็นรายวิชา ประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต และประเมินคุณธรรม
  2. การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเข้ารับการประเมินในภาคเรียนสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคเรียนนั้น ๆ

วิธีเรียน กศน.  เป็นวิธีเรียนที่ผู้เรียน ต้องฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาสาระในแต่ละรายวิชา รวมทั้งการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามสภาพความพร้อมพร้อมและความต้องการของผู้เรียนโดยมีครูเป็นผู้ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดหลักสูตร พร้อมทั้งมีการให้บริการแนะแนวหรือระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ด้วยการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ แนะนำและร่วมกับผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน ซึ่งวิธีการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ดังที่กล่าวมาแล้วเรียกว่า “วิธีเรียน กศน.” ซึ่งสามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ โดยพิจารณาจากความพร้อม ความสนใจ และศักยภาพของผู้เรียน  ความพร้อมในการบริหารจัดการของสถานศึกษา  ความพร้อมและศักยภาพของครูผู้สอน และความยากง่ายของเนื้อหารายวิชา

วิธีเรียน กศน. ตามตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 255วิธีเรียน กศน.  ที่เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การเรียนรู้แบบชั้นเรียน ซึ่งการเรียนรู้แต่ละรูปแบบมีลักษณะ ดังต่อไปนี้

การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับรายวิชาที่ลงทะเบียน โดยระบุขั้นตอนการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ และมีครูเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำในการศึกษาหาความรู้จากสื่อต่าง ๆและแหล่งการเรียนรู้

การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม เป็นการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้ผู้เรียนมาพบกันโดยมีครูเป็นผู้ดำเนินการให้เกิดกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้มีการอภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาข้อสรุปความรู้ร่วมกัน ทุกสัปดาห์ครูจะต้องจัดให้มีการพบกลุ่มอย่างน้อยสัปดาห์ละ6 ชั่วโมง(สำนักงาน กศน.,2555:211)

การเรียนรู้แบบทางไกล เป็นการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากสื่อต่าง ๆ โดยผู้เรียนและครูจะสื่อสารทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ เช่นการเรียนรู้แบบ e – learning หรือถ้ามีความจำเป็นอาจจะพบกันเป็นครั้งคราว

 การเรียนรู้แบบชั้นเรียน เป็นการเรียนรู้ในลักษณะแบบห้องเรียน ที่สถานศึกษากำหนดรายวิชา เวลาเรียน และสถานที่ที่เรียนชัดเจน การเรียนรู้แบบชั้นเรียนเหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีเวลามาเข้าชั้นเรียนสม่ำเสมอ

การเรียนรู้ทั้ง 4 รูปแบบ ดังที่กล่าวข้างต้น สถานศึกษาและผู้เรียนจะร่วมกันกำหนดว่าในแต่ละรายวิชาจะเรียนรู้แบบใด ซึ่งขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหาสาระของแต่ละรายวิชานั้น ๆ โดยให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของผู้เรียน และขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษาในการจัดสอนเสริมเพื่อเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียนได้เรียนรู้ให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นสถานศึกษาสามารถออกแบบการเรียนรู้แบบอื่น ๆ ได้ตามความต้องการของผู้เรียนและความพร้อมของสถานศึกษาแต่ละแห่ง

นอกจากนั้นสถานศึกษาสามารถออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบอื่น ๆได้ตามความต้องการของผู้เรียน

2. การสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ในการจัดการเรียนรู้เน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยการใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อบุคคล ภูมิปัญญา แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ชุมชน และแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ผู้เรียน ครู สามารถพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นเอง หรือนำสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ใกล้ตัว และข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สื่อต่างๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม เข้าใจง่าย เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง และต่อเนื่องตลอดเวลา

นวัตกรรมทางการศึกษา(Educational Innovation) คือ ความคิดใหม่ วิธีการใหม่ เทคนิคใหม่ แนวทางใหม่ ผลผลิตใหม่ ที่ได้ปรับประยุกต์ สร้างสรรค์ และพัฒนา ทั้งจากการต่อยอดภูมิปัญญาเดิมหรือจากการคิดค้นขึ้นมาใหม่ด้วยภูมิปัญญาใหม่ให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา

2.1 การแบ่งประเภทของนวัตกรรมการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามภารกิจของการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มี 5 ประเภท ดังนี้

1)  นวัตกรรมด้านรูปแบบหรือวิธีการจัดการศึกษา  เช่น
– การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มประชากรวัยแรงงาน
– การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้กับทหารกองประจำการ
– การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข
การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มผู้นำท้องถิ่น
การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายบนพื้นที่สูง
– การศึกษารูปแบบการจัดการศึกษา ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551
สำหรับบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายพิเศษที่อยู่ในวัยการศึกษาภาคบังคับแต่ไม่สามารถเรียนในระบบโรงเรียน
– การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษา ระดับประถมศึกษา ตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายชาวเล ซึ่งเป็นเด็กวัยเรียนที่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบ                                                                                  

2)  นวัตกรรมด้านการจัดเรียนรู้หรือการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น
–  การพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้การทำโครงงาน
–  การพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
–  การศึกษาเทคนิคในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
–  การพัฒนาการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้กับผู้เรียน
–  การพัฒนาการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้เรียน(กพช.)

3) นวัตกรรมด้านสื่อการเรียนรู้ เช่น
– เอกสารประกอบการเรียน
– บทเรียนสำเร็จรูป
– ชุดการสอน
– ชุดฝึกทักษะ
– คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
– E-learning

4) นวัตกรรมด้านการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เช่น
– การพัฒนาการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ อิงกลุ่ม
– การพัฒนาการวัดผลตามสภาพจริง (Authentic)
– การพัฒนาแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน
– การพัฒนาการประเมินเพื่อจัดกลุ่มเรียน

5) นวัตกรรมด้านการบริหารการศึกษา เช่น
– การพัฒนารูปแบบการประชาสัมพันธ์ กศน.
– การพัฒนารูปแบบ การจัดบริการแนะแนว
– การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
– การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งการเรียนรุ้
– การพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศ
– การพัฒนาระบบการบริหารงานทะเบียนและการตรวจสอบวุฒิการศึกษา
– การพัฒนาครูประจำศูนย์การเรียนชุมชนในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
– การพัฒนาระบบนิเทศภายในสถานศึกษา

                 

2.2 การใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนาในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้

การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีความหมายใน 2 ลักษณะ คือ

1. การวิจัยและพัฒนา หมายถึง กระบวนการดำเนินงานที่ประกอบด้วยขั้นตอนการวิจัยและขั้นตอนการพัฒนา โดยการนำผลจากการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาเพื่อการแก้ปัญหา หรือพัฒนาสภาพเดิมให้ดีขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การวิจัยและพัฒนา หมายถึง การพัฒนา โดยใช้กระบวนการวิจัยในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนา โดยใช้องค์ความรู้เชิงวิจัยมาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 

2.3 กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

ระยะที่ 1  การประดิษฐ์คิดค้น หรือเป็นการพัฒนาต่อยอดให้เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้
ระยะที่ 2  การพัฒนาโดยการทดลองในลักษณะโครงการทดลอง (Pilot Project)
ระยะที่ 3  การนำไปใช้ในจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์จริง

2.4 ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม

ขั้นที่ 1 การศึกษา รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ทฤษฎี หลักการ  ระเบียบ แนวปฏิบัติ สภาพ ปัญหา และความต้องการในการจัดการศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น   ดังนี้ 

1) กำหนดประเด็น ข้อมูลที่ต้องการศึกษาค้นคว้า
2) กำหนดวิธีการศึกษา รวบรวมข้อมูล
3) กำหนดและจัดทำเครื่องมือการศึกษา/ รวบรวม
4) กำหนดและจัดหาแหล่งข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง
5) จัดทำแผนการศึกษาและรวบรวมข้อมูล
6) ดำเนินการตามแผน
7) วิเคราะห์และสรุปผลการศึกษา/ การรวบรวมข้อมูล

 

ขั้นที่ 2  การออกแบบนวัตกรรมให้สอดคล้องกับทฤษฎี หลักการ  ระเบียบ แนวปฏิบัติ  สภาพปัญหาและความต้องการ    ดังนี้

1) กำหนด/ เลือกประเภทนวัตกรรมที่เหมาะสม
2) ศึกษารายละเอียดของนวัตกรรมที่กำหนด
– องค์ประกอบสำคัญ
– ขั้นตอนการจัดทำ/ สร้างนวัตกรรม
– กระบวนการบริหารจัดการ/ ใช้นวัตกรรม
– ฯลฯ

3) จัดทำหรือพัฒนานวัตกรรม
4) การตรวจสอบคุณภาพ ความเหมาะสมเบื้อต้นของนวัตกรรม

ขั้นที่ 3  การทดลอง วิจัย และพัฒนาเพื่อให้นวัตกรรมมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ดังนี้

1) การบริหารจัดการกระบวนการทดลอง
2) จัดทำแผนการทดลอง
3) ดำเนินการทดลอง
4) ประเมินผลการทดลอง (Evaluation)
5) พัฒนา/ ปรับปรุงนวัตกรรม

 

ขั้นที่ 4  การเผยแพร่ไปสู่ประชากรเป้าหมายเพื่อให้เกิดการยอมรับและนำไปปฏิบัติอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ดังนี้

1) ขยายผลการนำนวัตกรรมไปใช้จริง
2) การติดตามและประเมินผลการใช้นวัตกรรม
3) การพัฒนา ปรับปรุงนวัตกรรม
4)  รายงานผลการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม

เอกสารอ้างอิง

สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย,(2555). คู่มือดำเนินงานหลักสูตรการศึกษานอกระบบ    ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2555)กรุงเทพ: รังสีการพิมพ์

——————————————————————————-,(2555).หลักสูตรการศึกษานอกระบบ    ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554).กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก

 สมบัติ การจนารักพงศ์,(2547) นวัตกรรมการศึกษา ชุดเคล็ดลับ วิธีคิด และวิธีสร้างนวัตกรรมสำหรับครูมืออาชีพ.กรุงเทพ:สำนักพิมพ์ธารอักษร จำกัด

—————————————————————————————